และมาตรฐาน
และตลอดไป
ด้วยสถานการณ์ภาวะโลกร้อนและภัยพิบัติต่าง ๆ ทางธรรมชาติ ทำให้ทั่วโลกได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ “คาร์บอนเครดิต” กลายมาเป็นสิ่งที่ถูกใช้กำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วยเช่นกัน เพื่อมุ่งหวังที่จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทางภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสำคัญ คาร์บอนเครดิตคืออะไร คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมสามารถปล่อยได้ต่อปี ก๊าซชนิดนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดภาวะเรือนกระจก (Green House Effect) ซึ่งถ้าปล่อยก๊าซมลภาวะนี้น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด สามารถนำส่วนต่างไปจำหน่ายให้กับบริษัทอื่น ๆ ในภาคอุตสาหกรรมได้ ดังนั้นนโยบายการซื้อขายคาร์บอนเครดิตจึงกลายเป็นแรงจูงใจและยังเป็นส่วนหนึ่งของกลไกตลาด เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรมรายใหญ่และโรงงานต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ผู้ประกอบการหลาย ๆ แห่งมักจะทำโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นการสร้างคาร์บอนเครดิตและช่วยให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศลดลง เช่น การปลูกต้นไม้คืนพื้นที่สีเขียวสู่สังคม เป็นต้น ความสำคัญของคาร์บอนเครดิตที่มีต่อภาคอุตสาหกรรม เมื่อผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมถูกกำหนดให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แต่ด้วยการผลิตขนาดใหญ่จำเป็นต้องปล่อยเกินปริมาณที่กำหนดไว้ตามเกณฑ์ คาร์บอนเครดิตจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม อันเปรียบเสมือนสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การซื้อคาร์บอนเครดิตจากผู้ประกอบการรายอื่น ๆ คล้ายกับการซื้อโควตาสิทธิที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มให้เพียงพอกับการผลิตของตนเอง มิเช่นนั้นต้องจ่ายค่าปรับทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ประกอบการที่สามารถควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ทำให้มีส่วนต่างของปริมาณคาร์บอนที่ยังไม่ได้ปล่อยแล้วนำไปจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการรายอื่นได้ โดยอยู่ภายในขอบเขตที่แต่ละประเทศกำหนดค่ามาตรฐานเอาไว้ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จึงหันมาพัฒนากระบวนการผลิตแล้วเลือกใช้พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น คาร์บอนเครดิตซื้อได้ที่ไหน ราคาเท่าไร ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมสามารถหาซื้อคาร์บอนเครดิตได้จาก “ตลาดคาร์บอนเครดิต” (Carbon Market) เป็นแหล่งตัวกลางเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายคาร์บอนเครดิต […]
ตลอดปี 2023 ที่ผ่านมา amcogroup ได้จัดกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมมากมายให้ความรู้แก่นักศึกษาตามสถาบัน สัญจรทำกิจกรรมตามภูมิภาคต่าง ๆ และอื่นๆอีกมากมาย เราได้รวบรวมภาพบรรยากาศตลอดปีมาให้ทุกคนได้ร่วมเติบโตไปกับเรา
จากสถิติในปี 2022 กว่า 22 ประเทศทั่วโลกมีอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียสหรือมากกว่านั้น และในปีนี้มีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะเพิ่มสูงกว่าปีที่ผ่านมา อาจส่งผลให้ปัญหา “heat stress” หรือสภาวะความเครียดจากความร้อนของสุกรจะขยายเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยภาวะนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากในสุกรมากกว่าสัตว์ประเภทอื่น ๆ เนื่องจากสุกรไม่มีต่อมเหงื่อจึงไม่สามารถระบายความร้อนส่วนเกินออกจากร่างกายได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังส่งผลให้อัตราการเจริญเติบโตลดลง อัตราการป่วยตายสูงขึ้น อัตราการผสมติดต่ำ การกินอาหารได้ของสุกรลดลง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการสูญเสียทางเศรษฐกิจในกลุ่มผู้ผลิตสุกรเป็นอย่างมาก ดังนั้นภาวะความเครียดจากความร้อนเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เราสามารถจัดการและลดผลกระทบจากภาวะความเครียดจากความร้อน (heat stress) ในสุกร ได้ดังนี้ เพิ่มการระบายอากาศและใช้ความเร็วลมภายในโรงเรือนอย่างเหมาะสม การสร้างโรงเรือนแบบปิดและใช้ระบบควบคุมอุณหภูมิด้วยการระเหยน้ำ เช่น การทำความเย็นด้วยการระเหยน้ำที่เกิดจากความเร็วลม การเพิ่มไอน้ำและความชื้นในอากาศภายในโรงเรือน อุปกรณ์ในระบบต้องสะอาดและอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้อยู่เสมอ และหากเป็นไปได้ควรใช้น้ำเย็นในระบบ อุณหภูมิ อัตราการระบายอากาศ ความเร็วลม ความชื้นสัมพัทธ์ และปัจจัยอื่น ๆ ควรปรับให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่ จัดเตรียมน้ำสะอาดและน้ำเย็นในปริมาณที่เพียงพอ น้ำถือเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับสุกรและน้ำเย็นจะช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกายได้ โดยสุกรควรกินน้ำให้พอเหมาะกับการบริโภคอาหารเพื่อรักษาปริมาณการกินอาหารในช่วงฤดูร้อน การกินน้ำควรเพียงพอกับความต้องการของสุกรแต่ละอายุและวงรอบการผลิต โดยเฉพาะสุกรช่วงก่อนคลอด ช่วงเลี้ยงลูกรวมถึงช่วงสุกรขุน สัตว์ ปริมาณน้ำที่ต้องการ (ลิตร/วัน) อัตราการไหลของน้ำ (ลิตร/นาที) แม่เลี้ยงลูก 35-50 4 […]
ขณะนี้ผู้ผลิตสุกรทั่วโลกที่ใช้พันธุกรรมของสุกรสายพันธุ์ Danbred สามารถคาดหวังอัตราการรอดชีวิตของลูกสุกรได้สูงขึ้น เป้าหมายล่าสุดในการพัฒนาสายพันธุ์ Danbred คือการเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของลูกสุกร ด้วยเริ่มด้วยสายพันธุ์ Duroc กล่าวคือ ในเดือนมกราคม 2023 อัตราการรอดชีวิตของลูกสุกรในฝูงที่ผลิตในเดนมาร์กคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการรอดชีวิตในลูกสุกรเติบโตขึ้นสูงกว่าปีที่แล้ว 0.8% และคาดว่าในเดือนพฤษภาคมจะมีลูกสุกรที่รอดชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 1% “เราได้เห็นผลลัพธ์ของเป้าหมายการปรับปรุงพันธุ์ใหม่อย่างรวดเร็วในกลุ่มพัฒนาสายพันธุ์สุกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายพันธุ์ Duroc เนื่องจากการปรับปรุงพันธุ์และประสิทธิภาพการผลิตใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน เราจึงคาดว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราการรอดชีวิตของลูกสุกรจะเริ่มแสดงให้เห็นในการผลิตในช่วงนี้แล้ว” Tage Ostersen หัวหนาแผนกการปรับปรุงสายพันธุ์ และพันธุศาสตร์ของสภาการเกษตรและอาหารแห่งเดนมาร์กกล่าว การเจาะลึก LP5 ที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา ปัจจัยของเป้าหมายของการพัฒนาสายพันธุ์ (Breeding Goal) ที่ส่งผลต่อการรอดชีวิตของลูกหมูที่เพิ่มขึ้น คือ LP5 (จำนวนลูกสุกรที่มีชีวิตรอดที่อายุ 5 วัน) ด้วยการมุ่งหน้าพัฒนา LP5 ทำให้ขนาดครอกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ เจ้าของฟาร์มสามารถลดฝูงแม่พันธุ์ลง แต่ให้ผลผลิตหรือจำนวนลูกหย่านมที่เท่าเดิมได้ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 เราได้ปรับปรุงเป้าหมายในการพัฒนาสายพันธุ์ เพื่อรวมคุณลักษณะใหม่สำหรับการอยู่รอดของลูกสุกร ทำให้ LP5 ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยทาง […]
การให้อาหารแม่สุกรแบบใหม่ที่ถูกวิธีสามารถช่วยเพิ่มลูกมีชีวิตมากขึ้น 1.7% หรือ 0.4 ตัวต่อครอก การให้อาหารแม่สุกรอุ้มท้องจนถึงหลังคลอดอย่างถูกวิธี ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับผลผลิตของฟาร์มสุกรในปัจจุบัน โดยแม่สุกรควรได้รับพลังงานที่เพียงพอสำหรับกระบวนการคลอดและการฟื้นตัวของแม่สุกรหลังคลอดด้วย ซึ่งจากการทดลองล่าสุดจากสถาบัน Aarhus University และ SEGES innovation พบว่าการให้อาหารแม่สุกร ประมาณ 3.3 – 3.8 กิโลกรัมต่อวันในช่วงย้ายแม่สุกรขึ้นคลอด (อย่างน้อย 3 วันก่อนคลอด) จนถึงคลอด สามารถเพิ่มลูกมีชีวิตได้มากขึ้น 1.7% ยิ่งกินอาหารได้มากขึ้น ยิ่งทำให้ระยะเวลาการคลอดสั้นลง จากการศึกษาที่ผ่านมา จากสถาบัน Aarhus University และSEGES innovation ที่พบว่าไฟเบอร์จากบีทพัลป์ ในอาหารนั้นสำคัญสำหรับแม่สุกรโดยเฉพาะในกระบวนการคลอด วิธีการให้อาหารแบบใหม่ไม่เพียงแต่จะทำให้อัตราการรอดชีวิตของลูกสุกรมีมากขึ้น แต่ยังลดการช่วยคลอดหรือล้วงคลอด อีกทั้งช่วยฟื้นตัวหลังคลอดได้ดียิ่งขึ้น Camilla Kaae Højgaard หัวหน้าที่ปรึกษา SEGES Innovation. กล่าวว่า “ ณ ตอนนี้พวกเราแนะนำว่าควรให้อาหารแม่สุกร ประมาณ 3.3 – 3.8 กิโลกรัมต่อวัน นับตั้งแต่วันที่ย้ายแม่สุกรเข้าเล้าคลอดจนถึงคลอด […]
วันที่ 28 กันยายน 2566 บริษัท แอมโก้เวท จำกัด ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ Jon Thorgaard เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย เชิญเข้าร่วมงาน “Danish Livestock and Food Processing Business Delegation” ท่านเป็นเจ้าภาพเปิดบ้านเลี้ยงต้อนรับคณะนักธุรกิจด้านปศุสัตว์จากประเทศเดนมาร์ก และประเทศไทย อีกทั้งยังถือโอกาสร่วมฉลองและลงนามแสดงความยินดีกับกระทรวงเกษตร อาหาร และการประมงของประเทศมาร์ก ในโอกาสที่เนื้อวัวและซากวัวจากเดนมาร์กนั้นได้ผ่านการอนุมัติให้ส่งออกมายังประเทศไทยได้ ภายในงานมีพาร์ทเนอร์ของเราจาก บริษัท Danbred , R2AGRO และ SKOV และเรียนเชิญลูกค้าของแอมโก้เวท เข้าร่วมงาน โดยมุ่งมั่นเพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำด้านธุรกิจด้านปศุสัตว์ ด้วยสินค้าจากนวัตกรรมจากประเทศเดนมาร์ก
บริษัท แอมโก้เวท จำกัด จัดกิจกรรมสัมมนา “Innovative Transformation for Growth“ ปรับตัวเพื่อการเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัดด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรมและองค์ความรู้ วันที่ 27 กันยายน 2566 เวลา 13.00 น. ณ Convention center intercontinental Bangkok ชั้น 4 สำหรับกิจกรรมแรก เป็นการจัดสัมมนาการแบ่งปันความรู้จากทีม Amcovet โดยวิทยากรผู้มาประสบการณ์ ในหัวข้อ ดังนี้ ธุรกิจปศุสัตว์ในปี 2030 การพัฒนาสายพันธุ์ทีไม่หยุดนิ่ง และ SMART FARMING จาก DANBRED แนวโน้มเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก ปี 2023 – 2024 การวางแผนธุรกิจครอบครัวให้อยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน> และการจัดสัมมนาการแบ่งปันความรู้จากทีม Amcopet โดยวิทยากรผู้มาประสบการณ์ ในหัวข้อ ดังนี้ Problem related to quality of […]
การบริหารจัดการมาตรฐานการจัดสินค้า และจัดขนส่งสินค้าเพื่อป้องกันโรคได้อย่างมีระบบ ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของ Amcogroup โดยเห็นถึงความสำคัญ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก วันนี้เราอยากให้ทุกคนเห็นถึงความใส่ใจ ทั้ง 8 ขั้นตอนการส่งสินค้า และจัดส่งสินค้า ที่สะอาด ปลอดภัย มั่นใจในมาตรฐาน ของเรากันค่ะ ก่อนออกปฏิบัติงานทุกเช้า พนักงานทุกคนจะต้องตรวจวัดและจดบันทึกผลอุณหภูมิร่างกายในแต่ละวัน รวมถึงการแนบติดบัตรพนักงาน สวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือขณะจัดส่งสินค้าทุกครั้ง และรักษาระยะห่าง 1.5 – 2 เมตร เสมอในการทำงาน ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ก่อน และ หลังการจัดสินค้าทุกครั้ง พนักงานขนส่งจะได้รับกล่องอุปกรณ์สำหรับป้องกันโรค เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานทุกวัน ก่อนเข้าพบลูกค้าพนักงานขนส่งต้องสวมหน้ากากอนามัย, ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ และแนะนำตัว รวมถึงการแสดงบัตรพนักงาน พร้อมยื่นแบบประเมินสุขภาพเพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ ในการปฏิบัติงานทุกครั้ง พนักงานทุกคนจะเว้นระยะห่าง 1.5 – 2 เมตร จากลูกค้า เมื่อจัดส่งสินค้าเสร็จ พนักงานขนส่งจะทำความสะอาดรถ พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายนอก มีการจัดทำ Timeline การเดินทางของพนักงานขนส่งทุกวัน เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบข้อมูล https://www.amcovet.com/activities_post/logistic_biosecurity/ https://www.amcovet.com/activities_post/%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%81/
AMCOGROUPให้ความสำคัญกับการผลักดันฟาร์มสุกรให้เข้าสู่เทรนด์พลังงานสะอาด ด้วยระบบการจัดการของเสียในฟาร์ม “Biogas solar cell” เปลี่ยนรูปแบบของเสียในฟาร์มสุกรมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน การสร้างระบบบำบัดน้ำเสียภายในฟาร์มสุกรแบบก๊าซชีวภาพ เป็นการให้ความสำคัญที่จะช่วยลดปัญหามลภาวะในฟาร์มสุกร ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการลดปริมาณน้ำเน่าเสีย กลิ่นเหม็น และแมลงรบกวน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนบริเวณใกล้เคียงให้ได้มากที่สุด โดยการนำระบบ Biogas solar cell มาช่วยในการจัดการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ โดยผ่านกระบวนการบำบัดแล้วกลับมาใช้ ยกระดับเป็นพลังงานสะอาดจากธรรมชาติซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานทดแทนหมุนเวียนใช้ในฟาร์มเองได้ ช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และบรรลุเป้าหมายที่ต้องการลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตได้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังสร้างความคุ้มค่าอย่างยั่งยืนให้ ฟาร์มสุกรในระยะยาว
เทรนด์พลังงานที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอีกไม่กี่ปีข้างหน้า…กลุ่มธุรกิจทุกภาคส่วนจะใช้พลังงานทดแทนกันมากขึ้น เพราะปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกภาคส่วนที่ต่างต้องร่วมมือกันเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง หาทางออกในการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ กรมปศุสัตว์เป็นหนึ่งในภาครัฐที่ เร่งแก้ปัญหาโดยมุ่งเน้นการดันก๊าซชีวภาพจากฟาร์มสุกรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการสนับสนุนการวัดคาร์บอนฟุตพริ้นต์และการขายคาร์บอนเครดิต สอดรับกับนโยบายผลักดันเทรนด์ “ฟาร์มสุกรสีเขียว” เข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งในปีงบประมาณ 2565 กรมปศุสัตว์ โดยสำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ มีโครงการก๊าซชีวภาพระดับชุมชนจากฟาร์มสุกร โดยมีฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 12 ฟาร์ม สามารถขายคาร์บอนเครดิตรวม 11,987 tCO2eq คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3.25 ล้านบาท นอกจากนี้กรมปศุสัตว์ยังได้มีโครงการส่งเสริมระบบบำบัดน้ำเสียชนิดผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มสุกร ซึ่งได้ลดก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ดังนั้น การยกระดับการดันก๊าซชีวภาพจากฟาร์มสุกร เป็นตัวแปรที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Emissions) แหล่งอ้างอิงข้อมูล : https://dld.go.th/th/index.php/th/newsflash/collaborated-news/26130-dldcarbon160366
เปลี่ยน”มูลสุกร” สู่พลังงานทดแทนตอบสนองสังคมคาร์บอนต่ำ ปัจจุบันในวงการเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรเริ่มก้าวสู่เทรนด์การใช้พลังงานทดแทนจากมูลสุกรเพื่อเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยพลังงานทดแทนจากมูลสุกรมาใช้สร้างประโยชน์ โดยการนำมูลสุกรหรือขี้หมูมาทำเป็นไบโอแก๊สหรือ “แก๊สชีวภาพ” และ “ผลิตเชื้อเพลิงสะอาด”ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการย่อยสลายสารอินทรียวัตถุ โดยมูลสุกร 1 ฟาร์ม (เฉลี่ยสุกร 700 – 800 ตัว) สามารถผลิตพลังงานทางเลือกเพื่อส่งมอบพลังงานทดแทนให้แก่ผู้คนในชุมชนมากถึง 40 ครัวเรือน รวมถึงเป็นการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม สุขาภิบาล ปัญหาน้ำเสียในระดับท้องถิ่น ช่วยลดค่าใช้ไฟฟ้า ลดค่าก๊าซหุงต้ม รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นปัญหาในระดับโลกอีกด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนมูลสุกรมาสู่พลังงานทดแทนในฟาร์มสุกรถึงเริ่มเข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้นในปัจจุบันและอนาคตมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองสังคมคาร์บอนต่ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมส่งมอบโลกที่ไร้คาร์บอนกับคนรุ่นต่อไป