ทำอย่างไรดี แม่หมูหย่านมไม่ยอมเป็นสัด

    แม่หมูหลังหย่านมไม่เป็นสัด หรือ แม่หมูตกด้าง เป็นปัญหาคลาสสิกที่พบได้เกือบทุกฟาร์ม โดย 80% ของปัญหาเกิดจากความผิดพลาดในการจัดการ ผลที่ตามมา นอกจากจะเสียโอกาสในการผสมแม่หมู ยังสิ้นเปลืองค่าอาหารที่ต้องดูแลแม่หมูที่ไมให้ผลผลิตไปอีกอย่างน้อย 1-2 รอบ (21-42 วัน) หากลองคิดคิดตันทุนเฉพาะในส่วนของค่อาหารสำหรับแม่หมูกลุ่มนี้ โดยยังไม่ร่วมค่าใช้จ่ายอื่นๆ) เราอาจต้องเสียเงินไปเปล่าๆประมาณ 945 – 1,890 บาพ/แม่/1-2 รอบ (ค่าอาหารประมาณ 45 บาท/แม่/วัน) เป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลย แล้วในฟาร์มของเรามีแม่หมูตกด้างอยู่ทั้งหมดกี่แม่? ตกค้างมาแล้วกี่วัน? จะเห็นได้ว่าแม่หมูกลุ่มนี้เป็นกลุ่มของแม่หมูที่เป็นภาระตันทุนของฟาร์มอย่งแท้จริง หากจะทำการคัดทิ้งแม่หมูตกด้างไปเลย เกษตรกรหลายท่าน ก็ยังคงนึกเสียดายเนื่องจากส่วนใหญ่มักเกิดปัญหานี้กับแม่หมูที่ยังใช้งานได้เพียงไม่กี่ท้อง ดังนั้น การป้องกันการเกิดปัญหานี้ในระยาวจึงมีความสำคัญมาก สิ่งแรกที่เราควรต้องรู้ก่อนทำการแก้ปัญหาหรือป้องกันคือ มีสาเหตุใดบ้างที่ทำให้แม่หมูหลังหย่านมแล้วไม่แสดงอาการสัด และในฟาร์มของเรามีอะไรเป็น สาเหตุที่แท้จริง เพื่อจะได้เลือกใช้วิธีในการแก้ไข และป้องกันที่ถูกต้อง และได้ผลแบบยั่งยืน

 

สาเหตุที่แม่หมูหย่านมแล้วไม่เป็นสัด เกิดจากอะไรได้บ้าง?

  1. ความเครียด ปัจจัยต่งๆที่ทำให้เกิดความเครียดของแม่หมู เช่น การทำวัคซีนหรือแพ้วัดชีนในช่วงเลี้ยงลูก อากาศที่ร้อนอบอ้าว คอกเปียกและชื้นแฉะ ล้วนส่งผลต่อสุขภาพ ระดับภูมิคุ้มกันและการกินอาหารของแม่หมูทำให้การกินอาหารลดลง ไม่ได้ตามความต้องการของร่างกายและเป้าที่วางไว้
  2. สุขภาพและคะแนนหุ่นของแม่หมูหลังหย่านม หลายต่อหลายฟาร์มพบว่าแม่หมูหย่าลงลงมาด้วย สภาพร่างกายที่ผอมหรือโทรมมาก(ดังรูปที่ 1) ซึ่งทำให้แม่หมูฟื้นตัวได้ช้ ความสมบูรณ์พันธุ์ลดลง ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้แม่หมูผอมโทรมมาจากการให้อาหารในเล้าคลอดผิดพลาดหรือปริมาณอาหารที่แม่หมู่ได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และไม่เพียงพอต่อการผลิตน้ำนมเพื่อเลี้ยงลูก ทำให้เกิดการสลาย

    รูปที่ 1 แสดงแม่หมูหลังหย่านมผอมโทรม

    ไขมันสะสมของร่างกายออกมาใช้ แม่หมูกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะเสียน้ำหนักตัวหลังหย่านมอยู่แล้ว จึงทำให้สภาพร่างกายโทรม และไม่แสดงอาการเป็นสัดหรือเป็นสัดช้าตามมา ในทางกลับกัน แม่หมูที่อ้วนมาก เช่น มีระดับคะแนนหุ่นมากกว่า 3.5 ในขณะคลอด ก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นแม่หมูตกค้างหลังหย่านมได้มาก เช่นกัน การควบคุมคะแนนหุ่นของแม่หมูขึ้นคลอดในฟาร์มจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

  3. ระยะเวลาในการเลี้ยงลูกไม่เหมาะสม ระยะเวลาเลี้ยงลูกของแม่หมูก็มีความสำคัญและส่งผลต่อจำนวนวันหลังหย่านมได้เช่นกัน โดยจากการศึกษาของ Steverink และคณะ ในปี 1999 พบว่า แม่หมูที่มีระยะเลี้ยงลูกที่น้อยกว่า 16 วัน จะยึดระยะหย่านมถึงเป็นสัดนานออกไป เนื่องจากมดลูกยังไม่พร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อน (มดลูกยังไม่เข้าอู่) และระยะเลี้ยงลูกที่มากกว่า 32 วันขึ้นไป มีแนวโน้มว่า แม่หมูจะแสดงอาการเป็นสัดในเล้าคลอด ทำให้ภายหลังหย่านมอาจแสดงอาการเป็นสัดล่าช้ หรือไม่แสดงอาการเป็นสัดที่ชัดเจน โดยแม่หมูที่แสดงอาการเป็นสัดได้ดีที่สุดเป็นกลุ่มที่มีระยะเวลาเลี้ยงลูกประมาณ 28-31 วัน รองลงมาเป็นกลุ่มที่มีระยะเวลาเลี้ยงลูก 24-17 วัน แสดงดังกราฟที่ 1


    กราฟที่ 1 แสดงระยะเลี้ยงลูกและจำนวนวันหย่านมถึงเป็นสัด

  4. ความผิดพลาดในกระบวนการตรวจสัดหลังหย่านม ปัจจัยนี้เป็นปัญหามากในหลายๆฟาร์ม เกิดได้ทั้งจากตัวผู้ปฏิบัติงานและตัวหมูเอง เช่น ไม่มีการใช้พ่อพันธุ์เข้ากระตุ้นการเป็นสัดในแม่หมูหย่านม กระบวนการตรวจสัดที่ไม่แม่นยำ แสงสว่างในเล้าไม่เพียงพอ หรือ พ่อพันธุ์ที่ใช้ตรวจสัดไม่คึก มีผลทำให้พบแม่หมูที่
    แสดงอาการเป็นสัดที่ลดลง
  5. คอร์ปัสลูเทียม (Corpus luteum) ตกค้าง การตกค้างของคอร์ปัสลูเทียมในหมูเกิดขึ้นได้แต่ไม่บ่อยนัก มักเกิดในแม่หมูที่มีประวัติคลอดยากหรือ รกค้าง โดยคอร์ปัสลูเทียมจะทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการตั้งท้องของแม่หมู โดยปกติจะถูกสลายไปโดยฮอร์โมนพรอสต้าแกรนดิน (Prostaglandin) หลั่งมากขึ้นในช่วงใกล้คลอดและทำให้เกิดกระบวนการคลอด ดังนั้น หากยังมีคอร์ปัสลูเทียมตกค้างอยู่ แม่หมูจะไม่แสดงอาการเป็นสัดเนื่องจากคิดว่าตัวเองยังตั้งท้องอยู่

 

แนวทางการแก้ไขเบื้องต้น

  1. ทำให้แม่หมูเกิดความเครียด การทำให้แม่ตกค้าวเครียดเป็นวิธีการแรกๆที่เกษตรกรเลือกทำ สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การไล่แม่หมูที่ไม่แสดงอาการเป็นสัดมาไว้ในคอกพ่อหมู หรือ นำพ่อหมูไปไว้ยังดอกแม่หมู หรือ นำแม่หมูขึ้นรถละขับไปรอบๆ ฟาร์ม (ที่เรียกกันว่าการแห่หมู) เป็นตัน
  2. ใช้พ่อหมูเดินตรวจสัด เพ้นการตรวจสัดให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นโดยการใช้พ่อพันธุ์ช่วยในการตรวจ 2 รอบ/ครั้ง โดยใช้พ่อหมู 2 ตัว/รอบ (ดินตัวละรอบ)
  3. เพิ่มความละเอียดในการตรวจสัดให้มากขึ้น โดยสังเกตทั้งอาการแม่หมู และใช้การกระตุ้น 5 ขั้นตอน ขณะตรวจสัดร่วมกับใช้พ่อพันธุ์เดินตรวจสัด(เน้นให้จมูกชนจมูก)
  4. รักษาด้วยฮอร์โมนพรอสต้แกรนดิน (Prostaglandin) 1 เข็ม วิธีนี้จะใช้ได้กับการรักษาในกรณีที่เกิดการตกค้างของคอร์ปัสลูเทียมเท่านั้น เพื่อไปสลายคอร์ปัสลูเทียมค้างอยู่ แม่หมูจะแสดงอาการเป็นสัดภายหลังการฉีด 3-5 วัน
  5. พิจารณาคัดทิ้ง หากแม่หมูไม่เป็นแสดงอาการเป็นสัดนานกว่า 2 รอบควร ทำการคัดทิ้ง เนื่องจากสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการดูแล โดยไม่ได้ผลผลิตใดๆเลย ถึงแม้ว่าแม่หมูจะแสดงอาการเป็นสัดในรอบถัดไปก็มีแนวโน้มว่าจะให้ลูกไม่ดกด้วย

 

แนวทางป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหานี้ในอนาคต

  1. ลดแม่หมูโทรมหลังหย่านม โดยส่วนใหญ่แม่หมูโทรมจะมีสาเหตุจาก
    • การให้อาหารที่ไม่เพียงพอ จากที่กล่าวในช่วงตัน แม่หมูเลี้ยงลูกมีความต้องการสารอาหารที่มากกว่าหมูระยะอื่นๆ เนื่องจากต้องนำพลังงานที่กินไปใช้ในสร้างน้ำนมสำหรับเลี้ยงลูกหมู ดังนั้น หลังคลอดเสร็จ กระตุ้นให้แม่หมูให้กินอาหารอย่างเต็มที่ ภายใน 7 วันหลังคลอด ควรกินได้อย่างน้อย 5 -6 กิโลกรัม/ตัว/วัน ยิ่งแม่หมูกินอาหารได้มาก น้ำนมแม่หมูจะยิ่งดี (ดังรูปที่ 2) แม่หมูที่เสียน้ำหนักตัวน้อยหลังหย่านมจะแสดงอาการเป็นสัดได้ดีคว่แม่หมูที่เสียน้ำหนักตัวมากกว่า

      รูปที่ 2 แสดงผลจากการให้อาหารแม่หมูหลังคลอดได้ดี แม่หมูนมดีมาก

    • แม่หมูที่ให้ลูกดก แม่หมูที่ให้ลูกแรกเกิดมีชีวิตมากและต้องเลี้ยงลูกมากกว่า 14 ตัว/แม่ขึ้นไป (ดังรูปที่ 3) มีแนวโน้มว่าจะเสียน้ำหนักตัวหลังหย่านมมากกว่าแม่หมูที่เลี้ยงลูกน้อยกว่า ในฟาร์มที่มีลูกแรกคลอดจำนวนมาก จึงควรมีการจัดการอื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อลดภาระการเลี้ยงลูกของแม่หมูชน การย้ายฝากลูกหมูไปไว้กับแม่ตัวอื่นช่วยเลี้ยง หรือเสริมนมละลายน้ำให้กับลูกหมู (ดังรูปที่ 4) เป็นต้น
รูปที่ 3 ลูกดก
รูปที่ 4 การเสริมนมละลาย

 

  1. ปรับระยะเลี้ยงลูกในเล้าคลอดให้เหมาะสม โดยทั่วไประยะเลี้ยงลูกใช้เวลา 25-27 วัน หลังหย่านม แม่หมูจะแสดงอาการเป็นสัดภายใน 5-7 วัน
  2. การดูแลแม่หมูหลังหย่านม ช่วงหลังหย่านมดวรเพิ่มอาหารให้กับแม่หมูได้กินเต็มที่ อย่างน้อย 4-4.5 กิโลกรัมตัว/วัน (ดังรูปที่ 5) เพื่อเร่งการฟื้นตัวหลังหย่นม ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์พันธุ์และกระตุ้นการตกไข่เพิ่มขึ้น แม่หมูแสดงอาการเป็นสัดชัดเจนและยืนนิ่งขณะผสมได้ดี

    รูปที่ 5 การเพิ่มอาหารให้กับแม่หมูหย่านม

  3. เพิ่มความละเอียดการตรวจสัดแม่หมู เกษตรต้องหันมาให้ความสำคัญกับการตรวจสัดหลังหย่านมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด (ดังรูปที่ 6) โดยการสังเกตอาการของแม่หมู เช่น อวัยวะเพศบวมแดง มีเมือกใส ยืนนิ่งและให้ความสนใจกับพ่อพันธุ์เมื่อเดินผ่านขณะตรวจสัด ทำการตรวจสัดวันละ 2 ครั้ง (ช่วงเช้าและเย็น) ทุกวัน ร่วมกับใช้การกระตุ้น 5 ขั้นตอน (ดังรูปที่ 7) ขณะตรวจสัด จะช่วยให้แม่หมูแสดงอาการเป็นสัดและยื่นนิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น

    รูปที่ 6 แสดงการตรวจสัดแม่หมู

    รูปที่ 7 แสดงการกระตุ้น 5 ขั้นตอน ขณะตรวจสัดและก่อนผสมเทียม

  4. คุณภาพของพ่อพันธุ์ พ่อพันธุ์ที่ใช้ในการตรวจสัด ควรมีอายุ 1 ปีขึ้นไป และไม่ควรเป็นพ่อแก่ (อายุ 4 ปีขึ้นไป) หลายฟาร์มพลาดในจุดนี้ เนื่องจากมักใช้พ่อพันธุ์ปลดจากการรีดน้ำเชื้อมาใช้ในการตรวจสัด พอพันธุ์ตรวจสัดจะต้องความกำหนัดสูง และมีโปรแกมการรีดน้ำเชื้ออย่างสม่ำเสมอ (ทุกสัปดาห์) เพื่อเพิ่มความกำหนัดและยืดอายุการใช้งาน พ่อพันธุ์ที่ดีจะช่วยกระตุ้นการเป็นสัดในแม่หมู่ได้ดียิ่งขึ้น
  5. ให้ความสำคัญกับคะแนนหุ่น การให้อาหารและปรับหุ่นแม่หมอุ้มท้องมีความสำคัญต่อระบบการผลิตเป็นอย่างมาก แม่หมูจะต้องมีคะแนนหุ่นขึ้นคลอดพอดี (Body Condition Score; BCS = 3.0)(คังรูปที่ 8) แม่หมูที่มีคะแนนหุ่นเหมาะสม เมื่อขึ้นคลอดแม่หมูคลอดง่าย ไม่ต้องล้วงช่วยคลอด ลดการเกิดหนองหรือป่วยหลังคลอด (MMA) ซึ่งจะเป็นสาเหตุทำให้แม่หมูป่วย นมแห้ง กินอาหารน้อย หรือไม่กินอาหารในเล้าคลอด ซึ่งจะส่งผลให้สูญเสียไขมันสะสมและโทรมภายหลังหย่านม

    รูปที่ 8 แสดงหุ่นแม่หมูที่พอดีขณะขึ้นคลอด (BCS = 3.0)

  6. จัดสภาพแวดล้อมในโรงเรือนให้เหมาะสม
    • โรงเรือนอีแวป (EVAP) ต้องตรวจสอบการทำงานของระบบอีแวปเป็นประจำทุกวัน อุดรอยรั่วควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม แม่หมูจะต้องอยู่สบาย
    • โรงเรือนเปิด ต้องตรวจสอบการจัดการผ้าม่านให้เหมาะสม และตรวจการทำงานของพัดลมเป็นประจำทุกวัน หากอากาศร้อนอบอ้าวควรอาบน้ำให้แม่หมูเป็นรายตัว การเปิดพัดลมระบายอากาศ จะทำให้แม่หมูเย็นสบาย ไม่หอบ กินอาหารได้ดียิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า การแก้ญหาแม่หมูหย่านมไม่เป็นสัดไม่ได้ยากอยากที่คิด แต่ต้องอาศัยความเข้าใจของผู้ปฏิบัติงานให้มากขึ้น เช่น ปรับหุ่นแม่หมอุ้มท้องให้พอดีก่อนขึ้นคลอด กระตุ้นแม่หมูหลังคลอดให้กินอาหารอย่างเต็มที่ เพิ่มการดูแลแม่หมูหลังหย่านมและตรวจสัตอย่างละเอียดมากขึ้น ซึ่งวิธีการต่งๆ เหล่านี้ไม่ได้เป็นวิธีการที่แปลกใหม่ แต่หลายฟาร์มก็ยังพบปัญหาแม่หมูไม่เป็นสัดหลังหย่านมอยู่เรื่อยๆจนถือเป็นเรื่องปกติลองกลับมาดูว่าฟาร์มว่าผิดพลาดจุดไหนหรือไม่ ทำการปิดจุดบอดนั้นๆ ก็จะทำให้ได้แม่หมูกลับมาผสมเพิ่มขึ้น ลดแม่หมูกินเปล่าและช่วยประหยัดตันทุนของฟาร์มได้อีกด้วย

 

บทความอื่นๆ
DANBRED Breeding Goal 2024

Danbred Breeding Goal 2024 DANBRED มีเป้าหมายในการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ เพื่อให้ผู้ผลิตสุกรได้รับผลกำไรสูงที่สุด  โดยในปัจจุบันสุกรขุนแดนบรีดสามารถสร้างกำไรเพิ่มขึ้นต่อปีถึง 1.65 ยูโรต่อตัว (61.48 บาทต่อสุกรขุนต่อปี)และมีการปรับเป้าหมายในการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลกำไรขึ้นอีกเป็น 2.79 ยูโรต่อสุกรขุน ( 103.96 บาทต่อตัวต่อปี ) พัฒนาประสิทธิภาพสุกรขุน อย่างต่อเนื่อง (Productivity) สุกรขุนสายพันธุ์ DANBRED ได้รับการยอมรับในระดับโลก ว่าสามารถให้ผลกำไรกับผู้เลี้ยงมากที่สุด ด้วยอัตราการ เจริญเติบโตต่อวันสูง ประสิทธิภาพการใช้อาหารเหนือกว่า และคุณภาพเนื้อที่มีคุณภาพ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง จากการรายงานประสิทธิภาพสุกรขุนช่วง 30-110 กิโลกรัม ในประเทศเดนมาร์กในปี 2023 พบว่า สุกรขุน DANBRED มีอัตราการเจริญเติบโตต่อวัน(ADG)  จาก 1,024 กรัมเป็น 1,037 กรัม เพิ่มขึ้น 13 กรัมต่อวัน เมื่อเทียบกับปี 2022 นอกจากนี้ ฟาร์มสุกรขุน DANBRED 5 อันดับแรกในประเทศเดนมาร์ก มี […]

24 Nov 2024
DANBRED IS JUST BETTER แดนบรีด… สายพันธุ์ที่เหนือกว่า part 2

จากผลการทดสอบคุณภาพซากสุกรขุน อายุ 23 สัปดาห์ ระหว่างสุกรสายพันธุ์ DANBRED กับสุกรสายพันธุ์อื่นจากเดนมาร์กผลลัพธ์คือ DANBRED มีคุณภาพซากเหนือกว่าและมีน้ำหนักเข้าเชือดสูงกว่าถึง 9.4 กก. ในระยะเวลาเลี้ยงเท่ากัน     ♦ DANBRED สายพันธุ์ที่เหนือกว่าทั้งอัตราการเจริญเติบโต และคุณภาพซาก คุณภาพและปริมาณเนื้อแดง ได้เป็นเป้าหมายสำคัญในการปรับปรุงพันธุกรรมในสายพันธุ์แม่ของสุกรแดนบรีด (Landrace, Yorkshire, Duroc) มาตั้งแต่ปี 2017 และยังคงได้รับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยความสำเร็จเกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพซากและการติดตามพันธุกรรมของสุกรขุนมากกว่า 20 ล้านตัว/ปี จาก DANISH CROWN ซึ่งเป็นรัฐวิสากิจโรงเชือดและตัดแต่งสุกรที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเดนมาร์ก จึงทำให้สุกรขุนจากแดนบรีดเป็นสุกรที่เหนือกว่าทั้งด้านคุณภาพและปริมาณเนื้อแดง รวมถึงเป็นสายพันธุ์ที่ให้กำไรสูงสุดกับผู้เลี้ยงและผู้แปรรูปเนื้อสุกร   ♦ สุกรขุนแดนบรีด 130 กก. ซากสวย เนื้อแดงเยอะ ที่น้ำหนัก 130 กก. สุกรขุนแดนบรีด สามารถให้คุณภาพซากในระดับดีเยี่ยม โดยให้สัดส่วนเนื้อสันใน สันนอกและสามชั้น ปริมาณมาก ในทางกลับกันยังคงมีสัดส่วนไขมันเปลวและชั้นไขมันใต้ผิวหนังต่ำกว่าสุกรสายพันธุ์อื่นอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลจากการเน้นพัฒนาพันธุกรรมเพื่อคุณภาพเนื้ออย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้เลี้ยงสามารถเลี้ยงสุกรขุนถึงน้ำหนัก 130 กก.ได้ […]

16 Oct 2024
DANBRED IS JUST BETTER แดนบรีด… สายพันธุ์ที่เหนือกว่า part 1

จากผลการทดลองเลี้ยงจริงเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพ การเจริญเติบโตของสุกรขุนระหว่างสุกรสายพันธุ์ DANBRED กับสุกรสายพันธุ์อื่นจากเดนมาร์ก สรุปได้ว่า สุกร DANBRED ให้ผลกำไรกับผู้เลี้ยงได้สูงที่สุดและมากกว่าสายพันธุ์อื่นถึง 523 บาทต่อตัว       ♦ DANBRED มุ่งมั่นพัฒนาสายพันธุ์ที่เหนือกว่า “ผลลัพธ์และผลกำไรที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน ถึงแม้จะมีต้นกำเนิดจากเดนมาร์กคล้ายกัน” เนื่องจาก DANBRED มุ่งเป้ายกระดับการผลิต ทั้งเรื่อง ลูกดกและพัฒนาประสิทธิภาพสุกรขุนไปพร้อมกัน ส่งผลให้ ADG, FCR และ FCG ของสุกรขุนดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยใช้เทคโนโลยีการคัดเลือก DNA เพื่อปรับปรุงและ พัฒนาสายพันธุ์จากการวิเคราะห์ข้อมูลสุกรพันธุ์ในระบบ มากกว่า 35 ล้านตัว อีกทั้งการเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจ ของประเทศเดนมาร์ก จึงทำให้ DANBRED มีเป้าหมาย ที่ชัดเจนและก้าวสู่การเป็นองค์กรระดับโลก ด้วยเงินลงทุน เพื่อวิจัยและพัฒนามากกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี   ♦ แอมโก้เวท ยืนยัน ADG 1,100+ กรัม/วัน ทำได้จริง จากผลการทดลองเลี้ยงจริงล่าสุดในฟาร์มระบบปิดใน […]

29 Sep 2024

We use cookies to optimize and enhance the experience of using the website. You can learn more about the use of cookies at Cookie Policy and can choose to consent to the use of cookies. by clicking cookie settings

Privacy Preferences

You can choose cookie settings by on/off. Cookies of each type are available on request, except for Necessary Cookies.

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Necessary Cookies
    Always Active

    These types of cookies are essential for the website's operation, i.e. cookies that enable the website to perform basic functions and to allow the website to function normally, such as navigating the website pages. or enable visitors/users of the website to log in and access parts of the website that are reserved for members only. The website will not function properly without these cookies being collected. Therefore, you cannot disable these types of cookies through the system of the Company's website. These cookies do not store information that can personally identify you in any way.

Save