ลูกดกอย่างเดียวพอหรือไม่กับการพัฒนาสายพันธุ์ในปัจจุบัน

ลูกดกอย่างเดียวพอหรือไม่กับการพัฒนาสายพันธุ์ในปัจจุบัน

เนื่องจากสถานการณ์การเลี้ยงสุกรในปัจจุบันกำลังประสบปัญหาต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านต้นทุนค่าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ต้นทุนในการทำระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคระบาด ดังนั้นสิ่งที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องการคือ การหาวิธีที่จะลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุดหรือไม่เพิ่มสูงไปกว่าเดิม หนึ่งในปัจจัยที่มีส่วนช่วยในการลดต้นทุนการผลิตที่หลายๆ คนมองข้ามไปนั่นคือ

“พันธุกรรม”

 

ปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางด้านการพัฒนาพันธุกรรมของสุกรเป็นอย่างมาก ผู้พัฒนาสายพันธุ์สุกรหลายรายต่างก็ให้ความสำคัญกับสัดส่วนของดัชนีแต่ละค่าแตกต่างกันออกไป ซึ่งนอกจากดัชนีประสิทธิภาพสุกรขุนแล้ว ยังมีดัชนีประสิทธิภาพของแม่สุกร เช่น จำนวนลูกมีชีวิตที่สูง หรือที่เรียกกันว่าลูกดก ซึ่งทางผู้พัฒนาสายพันธุ์สุกรเองก็เลือกที่จะชี้ให้ผู้ประกอบการรับรู้ว่าถ้าหากได้จำนวนลูกหย่านมเพิ่มมากขึ้น (จากการที่ได้ลูกมีชีวิตเพิ่มขึ้น) ต้นทุนลูกสุกรหย่านม/สุกรขุนก็จะลดลง  แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่ผู้ประกอบการหลายๆ ท่านเคยพบก็คือ

“ลูกดกแต่เก็บไม่ได้”

 

รูปที่ 1. แม่สุกรที่เลี้ยงลูกดก มักพบปัญหาลูกสุกรสูญเสียในช่วงสัปดาห์แรกของการเลี้ยง

            สาเหตุที่เกิดปัญหาลูกดกแต่เก็บไม่ได้นั้นมีหลายปัจจัย โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักมองว่ามาจากการจัดการเป็นหลัก เช่น การเตรียมคอกคลอด การทำคลอด การย้ายฝาก เป็นต้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพของสุกรตั้งแต่แรกเลยคือ “พันธุกรรม” แน่นอนว่าถ้าพันธุกรรมดี ก็จะส่งผลให้การแสดงออกภายนอกของสุกรดีขึ้นด้วย ประเด็นสำคัญอยู่ที่ผู้พัฒนาสายพันธุ์ให้ความสำคัญกับเป้าพัฒนาสายพันธุ์ครอบคลุมถึงประสิทธิภาพตั้งแต่สุกรเกิดจนถึงขุนหรือไม่ กล่าวคือถ้าสุกรบางสายพันธุ์มีเป้าพัฒนาสายพันธุ์โดยมุ่งเน้นแต่เพียงดัชนีลูกดก โดยไม่ได้มีดัชนีที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของลูกสุกรหรือความสามารถในการถ่ายทอดการเจริญเติบโตจากพ่อแม่ไปยังลูกได้นั้น ก็มักจะพบปัญหา “ลูกดกแต่เก็บไม่ได้” ดังกล่าวเกิดขึ้น

 

“แล้วแดนบรีด (DanBred) เล็งเห็นความสำคัญตรงนี้อย่างไร ?”

 

ในปี 2007 DanBred ได้ตั้งเป้าพัฒนาสายพันธุ์ในส่วนของดัชนีแม่พันธุ์เป็นหลัก (รูปที่ 2.) โดยสังเกตได้ว่าสัดส่วนหลักคือ จำนวนลูกสุกรที่รอดใน 5 วัน (Lived Piglets at Day5; LP5) ซึ่งจากข้อมูลงานวิจัยหรือแม้กระทั่งในสภาพการเลี้ยงจริง สามารถใช้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าลูกสุกรจะเสี่ยงต่อการสูญเสียมากที่สุดในช่วงสัปดาห์แรกของการเลี้ยง อีกทั้งยังให้ความสำคัญถึงเรื่องความสามารถในการเลี้ยงลูก (Maternal effect) การใช้งานแม่สุกรได้เป็นเวลานาน (Longevity) ซึ่งนอกจาก LP5 ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง “ลูกดกแต่เก็บไม่ได้” นั้น ทีมวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ยังตั้งเป้าใน ส่วนของอัตราการเจริญเติบโตจนถึง 30 กิโลกรัม (Maternal Daily Gain Litter Birth-30; mDGLB30) ซึ่งเป็นยีนที่มาจากแม่สุกรที่สามารถส่งต่อให้กับลูกสุกรได้ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการได้ว่าลักษณะทางพันธุกรรมนี้จะช่วยให้ลูกสุกรแข็งแรงและมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น

 

รูปที่ 2. เป้าพัฒนาสายพันธุ์ของแม่พันธุ์ในปี 2007 แสดงถึงการให้ความสำคัญของดัชนีทางสายแม่พันธุ์เป็นหลัก

 

 

เมื่อพันธุกรรมในสายแม่สุกรให้ประสิทธิภาพที่น่าพอใจในเรื่องของดัชนีแม่พันธุ์ เช่น ลูกดก ความแข็งแรงของลูกสุกรแรกคลอด เป็นต้น ในปี 2018 ทาง DanBred ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในส่วนของดัชนีประสิทธิภาพของสุกรขุนมากยิ่งขึ้น เพราะต้นทุนในส่วนของค่าอาหารมีสัดส่วนมากที่สุด ดังนั้น FCR จึงตอบโจทย์ในการลดต้นทุนมากที่สุดนั่นเอง (รูปที่ 3.)

 

รูปที่ 3. เป้าพัฒนาสายพันธุ์ของแม่พันธุ์ในปี 2018 แสดงถึงการให้ความสำคัญของดัชนีประสิทธิภาพทางสุกรขุนเป็นหลัก

และสุดท้ายในปี 2022 (รูปที่ 4.) เป้าพัฒนาสายพันธุ์ของสายแม่สุกรยังคงให้ความสำคัญกับดัชนีประสิทธิภาพสุกรขุนเป็นอันดับหนึ่ง และเพิ่มจุดโฟกัสคือ “ความแข็งแรง (Robustness)” ทั้งในส่วนของแม่สุกร (อายุการใช้งาน, รูปร่าง) และลูกสุกร (การเอาตัวรอด, ความแข็งแรงของตัวลูกสุกรเอง) โดยท้ายที่สุดมุ่งหวังได้ผู้ประกอบการได้จำนวนลูกหย่านมเพิ่มขึ้น เป็นสุกรขุนที่ ADG สูง FCR ต่ำ

 

รูปที่ 4. สัดส่วนของเป้าพัฒนาสายพันธุ์สายแม่สุกรของ DanBred ในปี 2022

 

สังเกตได้ว่า DanBred ได้พัฒนาสายพันธุ์สุกรเดนมาร์กโดยคำนึงถึงผู้ประกอบการเป็นหลัก ที่ไม่ได้แค่คำนึงถึงจำนวนลูกดกเท่านั้น แต่ยังพัฒนาประสิทธิภาพในการเลี้ยงลูกของแม่สุกร ซึ่งยังสามารถส่งผ่านพันธุกรรมที่มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของลูกสุกร อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของสุกรขุน รวมถึงความแข็งแรงของสุกร ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการได้ลูกสุกรหย่านมจนถึงขุนมากขึ้น ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในเรื่องของการเลี้ยงลูกที่ดกขึ้นแต่เก็บไม่ได้ ที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตในภาวะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นในปัจจุบัน ทางแอมโก้จึงอยากให้ผู้ประกอบการเข้าใจถึงความสำคัญของการพัฒนาสายพันธุ์ ที่ไม่ใช่แค่คำนึงถึงจำนวนลูกที่ดกขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงเป้าพัฒนาสายพันธุ์ในส่วนของความสามารถในการเลี้ยงลูก ความแข็งแรง และประสิทธิภาพสุกรขุน  เพื่อตอบโจทย์ปัญหาในการเลี้ยงสุกรอย่างครบวงจรในปัจจุบันอีกด้วย

 

“ลูกดกอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องให้ความสำคัญกับความแข็งแรงด้วย”

 

เราใช้คุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใข้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุ้กกี้ได้ที่ นโยบายคุ้กกี้ และ สามารถเลือกตั้งค่ายินยอมการใช้คุ้กกี้ ได้โดยการคลิก การตั้งค่าคุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับคุกกี้ทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำงานของเว็บไซต์ ได้แก่ คุกกี้ที่ทำให้เว็บไซต์สามารถทำหน้าที่ขั้นพื้นฐานและช่วยให้การทำงานของเว็บไซต์ทำงานได้เป็นปกติ เช่น การเลื่อนสำรวจหน้าเว็บไซต์ หรือทำให้ผู้เข้าชม/ผู้ใช้เว็บไซต์เข้าสู่ระบบและสามารถเข้าถึงส่วนของเว็บไซต์ที่ถูกสงวนไว้ให้ใช้ได้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น โดยเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานอย่างถูกต้องได้เลยหากไม่มีการเก็บรวบรวมคุกกี้เหล่านี้ ดังนั้น ท่านไม่สามารถปิดการใช้งานของคุกกี้ประเภทนี้ผ่านระบบของเว็บไซต์ของบริษัทได้ ทั้งนี้คุกกี้ประเภทนี้ไม่ได้มีการจัดเก็บข้อมูลซึ่งสามารถระบุตัวตนของท่านได้อย่างเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด

  • คุกกี้เพื่อกำหนดเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้อาจถูกติดตั้งโดยพันธมิตรทางการตลาดผ่านทางเว็บไซต์ของเรา โดยจะทำการจัดเก็บข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ของท่านว่า ท่านเข้าชมเว็บไซต์ใดบ้าง และเข้าชมเว็บไซต์ผ่านทางลิงก์ใดบ้าง บริษัทใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกับความสนใจของท่านมากขึ้น บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้แก่บุคคลที่สามเพื่อวัตถุประสงค์เหล่านี้ด้วย หากท่านไม่อนุญาตให้ใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านจะได้รับการโฆษณาที่เฉพาะเจาะจงน้อยลง

บันทึก